[Trans] Perth - คมชัดลึก KomChadLuek
December 13, 2020 at 3:55 pm
--><--
เพิร์ธ ธนพนธ์ สัมภาษณ์ คมชัดลึก
Twitter Moments
- (KCL News)
- (Trans KCL News)
'เพิร์ธ' พิสูจน์นิยาม 'ใจแลกใจ'
"เพิร์ธ" ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจกับความรักตลอด 2 ปีของเขาและแฟนคลับของเขา
ทีมบันเทิง คมชัดลึก - เป็นหนุ่มฮอตที่เพิ่งจะคว้ารางวัล “นักแสดงชายยอดนิยม” จากเวที “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 16” ที่ผ่านมา สำหรับ “เพิร์ธ” ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร วันนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” ได้มีโอกาสเปิดใจหนุ่มคนนี้ถึงเรื่องราวที่หลายคนอยากรู้ หรือยังไม่รู้
ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เมื่อก้าวเข้ามาอยู่ตรงนี้
“จริงๆ ไม่ค่อยเปลี่ยน พยายามเป็นตัวเรา แต่อาจจะมีเรื่องของความคิดที่เปลี่ยนไป คนเราความคิดมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจจะโตขึ่้น ระยะเวลาต่างๆ ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น”
ตอนที่เข้ามาเหมือนอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มันมีผลไหม
“ผมว่าผมผ่านช่วยพีคๆ แบบนั้นมาแล้วก่อนเข้ามาตรงนี้ พอเข้ามามันทำให้ผมรู้ก่อนคนอื่น เรียกว่ารู้เร็วขึ้น เลยปรับตัวเร็วขึ้น เรียกว่าอยู่ได้โดยที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองอะไรมากขนาดนั้น เพราะก่อนหน้านี้อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าผมเคยเกเรมาก่อน”
ภูมิใจตัวเองไหม จากที่เราเคยเกเรแล้วมาเป็นเพิร์ธในวันนี้
“มันไม่ได้ภูมิใจ เพราะว่ามันก็เป็นเรื่องดีอย่างเสียอย่าง เพราะบางคนอาจจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตเลย บางคนอาจจะไม่ได้ผ่านจุดๆ นั้นมาทำให้ตัวเองยังคิดไม่ได้ ผมว่าผมโชคดีทีหันกลับมาคิดได้ ทำทุกอย่างทัน ได้เปลี่ยนตัวเองทำให้ตัวเองดูโตขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความคิดที่โตมากขึ้น ด้วยความที่ตอนนี้เราทำงานแล้วด้วย มันไม่ได้เหมือนเด็กเพราะถ้าเราทำงานกับคนหมู่มาก เราทำพลาดก็คือพลาด และก็กระทบกับคนอื่น”
วันนี้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว กลับไปถามแม่ไหมว่าภูมิใจในตัวเราแค่ไหน
“ไม่เคยกล้าถามเลย (หัวเราะ) แต่ผมว่าแม่คงรู้สึกดี เพราะว่าพอผมกลับบ้านไป เห็นเขาเปิดทวิตเตอร์ เขาก็ยิ้ม (หัวเราะ) แตกต่างจากสมัยก่อนที่เขามีแต่น้ำตา เพราะมันมีแต่เรื่องเครียดไปหมด วันนี้ผมรู้สึกดีใจด้วยที่สามารถเลี้ยงเขาได้ ให้เงินเดือนเขาได้ (ยิ้ม)”
ตอนก้าวเข้ามาคิดไหมว่าเราจะหลงแสงสีเสียงในวงการนี้
“จริงๆ เราก็รู้ทันแล้วนะ เพราะว่าเราเจอมาก่อนแล้ว มันเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายๆ อย่าง ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณตัวเองในวันที่เราเคยเกเรในตอนนั้นด้วย เพราะมันทำให้รู้อะไรหลายๆ อย่าง บางคนอาจจะก้าวผิดเพราะยังไม่รู้ แต่ผมรู้มาก่อนแล้ว และผมผ่านการสูญเสียจากการเคยก้าวผิดมาแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าผมจะหลงแสงสีเสียงในวงการ ผมว่าผมไม่"
เคยมีอารมณ์แบบเหลิงไหม
“แบบว่าฉัน เพิร์ธ ธนพนธ์ เหรอ ไม่มีเลย (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่าผมก็เป็นผมนี่แหละ การที่เราเป็นที่รู้จักมีคนรักมากกขึ้น มันไม่ได้หมายถึงว่าเราจะทำอะไรก็ได้โดยไม่แคร์ใคร อย่างนิสัยส่วนตัวผมเป็นคนที่แคร์มากๆ อยู่แล้ว และผมรู้สึกว่าผมก็แค่เป็นตัวผม ไม่ได้จะต้องมาสร้างภาพอะไรออกมา ส่วนที่ว่าการมีคนเข้ามา ผมถือว่าผมโชคดีที่คนที่เข้ามาหาเราในวันนี้ทุกคน เป็นคนที่หวังดีและรักเรา ผมคิดในแง่ที่ดี”
วันที่ดังมีคนรู้จัก ถามตัวเองไหมว่าจะอยู่ตรงนี้อย่างไร เพื่อให้มีคนรักไปเรื่อยๆ
“คิดนะ ผมยอมรับนะว่าผมก็กลัว ผมเลยอยากพัฒนางานต่างๆ ออกมาให้เยอะๆ ให้คนที่เขาชื่นชอบเรา ติดตามผลงานเรา เขาได้ภูมิใจที่เห็นผลงานเราที่พัฒนาขึ้น ผมว่ามันก็แรงผลักดันหนึ่งของเราที่ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเอง เรียกว่าเป็นแรงกดดันไหม มันก็ใช่นะ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดากับการที่เราอยู่ตรงนี้”
เวลาเจอภาวะกดดันมากๆ ให้กำลังใจตัวเองอย่างไร
“ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมมาก เวลาทำงานเหนื่อยๆ หรืออะไรต่างๆ ก็ตาม การกลับบ้านเหมือนได้พักผ่อน แม่จะทำกับข้าวให้กิน (ยิ้ม)”
นิสัยส่วนตัวของ “เพิร์ธ” เป็นคนอย่างไร
“พูดยากนะการที่จะมาบอกว่าตัวเองเป็นยังไง ผมเป็นคนมีหลายมุม ตัวจริงๆ ผมเป็นเด็กเงียบ ผมจะไม่เล่นโซเชียลเลยนะ ถ้าเป็นตัวผมจริงๆ ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ผมตั้งกำแพงไว้สูง จะคุยกับใครใหม่ๆ ได้ยากมาก จะสนิทยาก ผมสามารถอยู่คนเดียวในห้องได้ทั้งวันโดยการแค่ฟังเพลง แล้วรู้สึกอุ่นใจด้วยนะ มันเหมือนเป็นเซฟโซนเรา เพราะบางทีเราออกมาข้างนอกบางทีผมยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของเรา แต่การอยู่ในห้องของผมเอง มันคือที่ที่ดีที่สุดแล้ว (หวงเซฟโซนไหม) ไม่ได้หวงนะ แต่ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามาในบ้านผม สำหรับผมบ้านเหมือนเป็นที่ชาร์จแบตของผม”
วางอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรต่อจากนี้
“อยากจะพัฒนาตัวเอง อยากจะหางานซีรีส์ต่างๆ หรือท้าทายตัวเองกับบทหนัง รอพัฒนาฝีมือเราไปเรื่อย และพัฒนาผลงานที่เราจะภูมิใจกับมันไประดับหนึ่ง ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมเองก็พยายามเลือกงานที่เข้ามา คอนสกรีนว่าอันไหนที่ผมชอบ อันไหนที่อยากที่จะทำ ทำแล้วผมจะได้พัฒนาอะไรบ้าง ตอนนี้ถ้าถามว่าอยากทำอะไร อยากเล่นหนัง เพราะว่าเรายังไม่ได้ลอง เพราะทั้งซีรีส์ ละคร เราลองมาหมดแล้ว ในทุกการตัดสินใจในการทำงานของผม ผมโชคดีที่พี่ๆ แฟนคลับของผมทุกคนเคารพในการทำงานของผม คือผมจะมีคำพูดที่จะพูดเสมอว่า "ใจแลกใจ" อยู่ด้วยกัน ผมให้ใจเขา เขาให้ใจผม"
มีไหมที่กลัวว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้เป็น “เอ้ บังเอิญรัก” แล้ว แฟนคลับยังอยู่กับเราไหม
“เคยแอบคิดครับ ยอมรับเลย เพราะว่าตอนที่เราเป็นเอ้ ทุกอย่างมันมาเร็วมาก เราตั้งรับไม่ทัน ก็กลัวว่าเขาจะชอบที่เราเป็นเอ้เท่านั้นหรือเปล่า เราก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่เราให้ใจเขาในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่เคยหลอกเขา ไม่เคยที่จะใช้เขาเป็นเครื่องมือ เรามองว่าเราให้ใจเขา เขาให้ใจเรา ถ้าเราไปหลอกใช้เขาเป็นเครื่องมือ ทั้งที่เขาเป็นคนที่รักเรา แต่สำหรับผมคนที่เขารักเรา เราก็ต้องให้เกียรติเขา ให้ใจเขา”
ตอนที่เราเลือกว่าเราจะใช้ใจแลกใจ ตอนนั้นมั่นแค่ไหนว่าจะได้กลับมา
“คือมันต้องใช้เวลาพิสูจน์ ซึ่งก็ใช้เวลาพิสูจน์นานมาก ถามว่ามันเสี่ยงไหม เมื่อวันที่เราไม่ได้เป็นเอ้ และเป็นเพิร์ธ แล้วเขายังจะรักเราไหม มันก็เสี่ยงนะ แต่ผมมั่นใจในสิ่งที่พี่ๆ แฟนคลับให้กลับผมมา ว่าเขารักผมจริงๆ มันอธิบายไม่ถูกว่าทำไม แต่เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เขาให้มา"
มาถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้ หัวใจว่างไหม
“(หัวเราะ) ผมยังไม่มีแฟนๆ ถามว่าโสดมานานแค่ไหน คือโสดมา 3 ปีแล้ว เพราะเอาจริงๆ ส่วนตัวผมไม่ได้โฟกัสในเรื่องนี้เท่าไรด้วย”
ใจแลกใจ...ในแบบ “เพิร์ธ” ธนพนธ์
ที่มา : komchadluek
[Eng Trans] cr. KingdomPPEInter
[Eng Trans] cr. KingdomPPEInter
'เพิร์ธ ธนพนธ์' จากเด็กเกเรสู่ดาราวัยรุ่นชื่อดัง
"เพิร์ธ"ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร บอกเล่าเรื่องราวกว่าจะมาถึงวันนี้
ทีมบันเทิง คมชัดลึก - เป็นดาราวัยรุ่นชื่อดังที่กำลังถูกจับตามองในเวลานี้ สำหรับ “เพิร์ธ”ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร ที่ความฮอตของเขาทำให้มีแฟนคลับอยู่ทั่วเอเชีย ซึ่งผลงานตอนนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะว่าหนุ่มเพิร์ธเป็นหนึ่งในนักแสดงจากซีรีส์ไทยเรื่องแรกของ“Netflix”อย่างเรื่อง“เคว้ง”สบโอกาสเหมาะ“บันเทิง คมชัดลึก”เลยขอเปิดใจหนุ่มคนนี้มาให้แฟนๆ ได้รู้จักกันมากขึ้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ที่ทาง netflix Original ร่วมกับไทย เป็นครั้งแรกเป็นซีรีย์แนว ระทึกขวัญ ฝีมือการกำกับของพี่จิมโสภณผู้กำกับลัดดาแลนด์ ซึ่ง ตอนมาเจอครั้งแรกเราก็แอบเก่งพี่จิมเรื่องแรกของเรา ก็เป็นแนวซีรีย์ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนี้เพราะอันนี้เหมือนจะเข้ามาอยู่ในพาร์ทของการเป็นภาพยนตร์ด้วยซ้ำ เพราะว่าการถ่ายทำก็ถ่ายทำคล้ายกับภาพยนตร์รู้สึกตื่นเต้น”
การแสดงเรื่องนี้ต่างยังไงกับสิ่งที่เคยแสดงมา
“เรียกว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งเรื่องของการแสดงและจังหวะการเล่น เนื้อเรื่องบทบาทมันแตกต่างกันไปหมด เรียกว่าเป็นการผิดคาแรคเตอร์อย่างจริงๆจังๆ คือเรื่องนี้พลิกจากตัวผมที่ทุกคนเห็นมากๆ ไม่ใช่แค่ผิดจากการเป็นเอ๋ในบังเอิญรัก แต่พลิกจากการเป็นเพิร์ธด้วย อยากปกติคนจะเห็นผมเป็นคนซนๆ หน่อยแต่ในคาแรกเตอร์นี้จะแตกต่างแบบอื้อ...ไปเลย อย่างที่เห็นได้ชัดคือการพูดจาที่จะไม่เป็นตัวผมเลย”
ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้
“จริงๆดูเรื่องบทก่อนเลยอันแรกบทนี้เป็นบทที่น่าสนใจมาก แล้วมันท้าทายความสามารถเราแบบสุดๆเลย อีกหนึ่งเรียกว่าโอกาสที่ดีของเราจาก netflix ด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องแรกของไทยด้วยก็เลยรับเล่น ที่สำคัญเรื่องนี้ได้ ร่วมงานกับพี่จิมซึ่งผมเองก็ติดตามผลงานที่จีนมาก่อนหน้านี้ส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างเกร็งไปก่อนเวลาที่จะต้องทำงานอะไรสักอย่างจะกลัวว่าเราจะทำได้หรือเปล่าจะเล่นได้หรือเปล่าและด้วยความที่พี่จิมเองเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียง เราก็จะมีความกังวลว่าจะทำให้พี่เขาเสียชื่อเพราะเราหรือเปล่า (ยิ้ม)”
การถ่ายทำหนักมากไหม
“การถ่ายทำเหมือนต่างประเทศ และหนักมากจริง (ยิ้ม) คือผมจะถ่ายเป็นช่วงๆช่วงหนึ่งก็ใช้เวลา ประมาณ 5 วัน 10 วัน โดยไปถ่ายที่เกาะหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งสัญญาณก็ไม่ค่อยจะมีฝุ่นก็เยอะ เหมือนไปติดเกาะจริงๆ เหมือนต้องไปตะลุยอะไรสักอย่าง เพราะทีมพ็อพทุกอย่างทำให้เรารู้สึกว่าเราติดเกาะจริงๆ การถ่ายทำเรื่องนี้หนักมากๆ คือกองถ่ายปกติว่าหนักแล้ว แต่อันนี้หนักมากๆ”
โดนตัดการสื่อสารแบบนั้นเป็นไง
“เอาจริงๆ ผมเป็นคนไม่ได้ติดโซเชียลมาก แต่ก็ลำบากเหมือนกันเวลาขาดการสื่อสารไป เพราะสัญญาณอินเตอร์เน็ทตอนอยู่ที่นั่นไม่ค่อยมี แต่สัญญาณโทรศัพท์ใช้ได้อยู่”
ต้องมีการรายงานตัวกับใครไหม หายไปนานๆ แบบนี้
“ก็จะมีโทรบอกแม่ว่าถึงแล้ว เพราะก่อนจะไปเราบอกก่อนอยู่แล้วว่าเราไปไหน ไปทำอะไรกี่วัน แม่ก็จะรู้ว่าเราไปทำงาน เขาก็จะไม่มาโทรตาม เขาจะเข้าใจ แต่พอวันที่จะกลับก็จะโทรไปบอกว่า ม๊ะม๊ากำลังจะกลับแล้วนะครับ”
พ่อแม่หวงไหม
“หวงไหมเหรอ คือเขาจะปล่อยให้เราคิดให้เราทำ แต่คอยหวงอยู่ห่างๆ อธิบายยังไงดี คือเขาจะให้อิสระในการตัดสินใจมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ตั้งแต่สมัยมัธยม ให้เราตัดสินใจทุกเรื่อง อะไรผิดพลาดไป ต้องแก้ไขเองแบบนี้ เขาสอนให้เราเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง”
อย่างเวลาเราตัดสินใจอะไรผิดพลาด พ่อแม่ว่ายังไง
“เวลาเกิดอะไรผิดพลาดก็จะปรึกษา เขาก็จะสอนตลอด แต่จะไม่มาตีกรอบ อย่างบ้านผมไม่ได้มีกรอบว่าจะต้องอยู่ในกรอบ คือผมเป็นลูกคนเดียว แล้วเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกรอบ อยากจะออกไปเรียนรู้เรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่ผมว่าที่เป็นแบบนี้เพราะว่าเขาให้อิสระเราด้วยแหละ”
เคยหลุดกรอบไปไกลๆ จนเรียกว่าตะเลิดไหม
“ตอนมัธยม (หัวเราะ) อันนี้ไม่เคยเล่าเลยนะ พูดตรงๆ ตอนนั้นเกเร (หัวเราะ).แต่ตอนนี้ไม่เกเร น่ารักแล้ว กลับตัวกลับใจ (หัวเราะ) ตอนมัธยมเกเร แล้วพ่อแม่ก็ดึงกลับมา และเป็นช่วงจังหวะที่ว่าอากงเสียด้วย เลยทำให้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ดี”
วันนี้พอเรามายืนอยู่ตรงนี้มองย้อนกลับไป รู้สึกยังไง
“สำหรับผมนะ มันทำให้เราเห็นโลกความเป็นจริง ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผมเคยทำมันถูก มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราควรเอาเวลาไปเรียนดีกว่า คือถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากแก้ไขมันนะ ผมอยากทำให้ดีเพื้อคนที่ผมรัก เพื่อผมจะได้มีเวลาอยู่กับอากงผมมากขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือผมได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผมทำ มันทำให้ผมมีวันนี้ มันทำให้มีประสบการณ์ในการตัดสินใจทำอะไรทุกวันนี้ คือมันมีข้อดีนะ แต่ไม่แนะนำ (หัวเราะ)”
ตอนนั้นเกเรมากเลยเหรอ
“ตอนม. 4-5 เกเรเลย (หัวเราะ) คือประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว”
อะไรที่ทำให้ดึงเรากลับมา
“ผมว่าเป็นเพราะอากง สมัยก่อนตั้งแต่ตอนเด็กๆ จะอยู่กับอากง ตั้งแต่ตอนประถม ปิดเทอมก็อยู่กับอากงตลอด จนพอมาขึ้นม.4 ปุ๊บ เริ่มเข้าสู่วงการเพื่อน (หัวเราะ) ปิดเทอมไม่อยู่บ้าน ไปนอนบ้านเพื่อน ทำอะไรก็ทำกับเพื่อน ไม่ได้กลับบ้านเลย ช่วงนั้นอากงก็บ่นคิดถึงเรา เพราะเราไม่ได้ไปหาเขา และช่วงนั้นอากงป่วยด้วย พอวันที่เขาเสียไป เรามานั่งถามตัวเองว่าเราเอาเวลาไปทำอะไรอยู่ (เสียงสั่น) มันเสียเวลาเหลือเกินกับการใช้ชีวิต มันเลอะเทอะ ตัวเองเราทำอะไรได้มากกว่านี้ รู้สึกว่าเวลานั้นเราควรอยู่ดูแลอากงได้ พอมานั่งดูตัวเองมันไม่ใช่เลย”
ตอนนั้นคือติดเพื่อนมากเลยเหรอ
“ติดมาก ถ้าเลเวล 10 ก็ประมาณ 8-9 ได้ อีกนิดเดียวก็ 10 คืออยากจะบอกว่า ผมโชคดีมากๆ ที่มีอะไรทำให้ฉุกคิดแล้วกลับตัวได้ แต่บางคนไม่ได้โชคดี”
เคยคิดไหมว่าถ้าตอนนั้นเราไม่ได้เจอเหตุการณ์สูญเสีย จะเป็นยังไง
“ปัจจุบันนี้ผมคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ยังไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นงานเป็นการแบบนี้ และก็คงคิดไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อไปในชีวิต คงใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ”
ตอนนั้นที่เราเกเรมากๆ คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไง
“ผมว่าเขาคงเสียใจ และเจ็บที่เห็นลูกตัวเองเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเขาก็พยายามพูดพยายามบอก แต่ด้วยเราตอนนั้นคือก็ไม่ฟัง เขาคงเสียใจและเจ็บจี๊ดที่ลูกไม่ฟัง ตอนนี้เวลาเจอวัยรุ่น รุ่นเดียวกันมาบ่นเรื่องพ่อแม่ ผมจะบอกเขาเลยว่า ผมเข้าใจเขานะ แต่อยากให้เขาเข้าใจพ่อแม่ด้วยว่า ที่เขาพูด เขาทำ เพราะเขารักและห่วงเรา ผมโชคดีหลายอย่างที่พ่อแม่ผมเป็นคนที่เข้าใจ ไม่ได้กดดัน มิฉะนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมจะเตลิดไปไหน”
จากเหตุการณ์ที่เจอมา สอนอะไรเพิร์ธบ้าง
“ผมหวงครอบครัวมาก ครอบครัวมาอันดับหนึ่ง ตอนนี้คือทุกอย่าง ทุกการตัดสินใจในตอนนี้ สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือครอบครัวมาอันดับหนึ่ง ผมจะให้เวลากับครอบครัวมาเป็นอันดับต้นๆ เลย คืองานเราเยอะ แต่เมื่อมีเวลาผมจะให้กับครอบครัว พาไปกินข้าว แม่อยากไปไหนก็พาไป”
เวลาทำงานเยอะๆ เหนื่อยๆ มีอยากบอกลาไหม
“ช่วงหนึ่งคิด มันมีช่วงที่มันท้อ แต่ใจก็อยากทำงาน ผมมีความสุขที่ได้ทำงาน เวลาเหนื่อยๆ แล้วไม่อยากลุกไปทำงานก็จะบอกตัวเองว่ามันเป็นอาชีพที่เรารัก เราได้เจอในสิ่งที่เราฝันไว้แล้ว”
ถึงงานหนักแต่ก็ยังแฮปปี้กับการอยู่ตรงนี้ใช่ไหม
“แฮปปี้ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็แฮปปี้ เพราะเราชอบมากๆ”
วันนี้เราเป็น “เพิร์ธ” ธนพนธ์ ที่มีแฟนคลับเยอะและมีอยู่ทั่วเอเชียแล้ว มองกลับไปไหม
“เชื่อไหม ผมมองนะ แต่ไม่ได้มองย้อนกลับ แต่มองข้างหน้า แล้วก็ถามตัวเองว่าจริงเหรอ มันเป็นความจริงใช่ไหม คือตอนนี้ยังไม่เชื่อเลย เพราะผมเป็นเด็กธรรมดากระจ๊อกกระจ๋อยคนหนึ่ง ยังไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมาถึงวันนี้ แล้วเราภูมิใจหลายๆ อย่าง และก็ดีใจที่เอาชนะกับคำสบประมาทที่ทุกคนเขามีต่อเรา เราดีใจที่หาเงินให้พ่อแม่ได้ ให้เงินเดือนแม่ได้ เราไม่คิดว่าจะทำได้ตั้งแต่ตอนอายุเท่านี้ มันภูมิใจจนไม่รู้จะบรรยายยังไง”
วันแรกที่เอาเงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงไปให้แม่ แม่ว่ายังไง
“เขาดีใจมาก เขายิ้ม ตัดภาพกลับไป ก่อนหน้านี้คือเราทำให้เขาร้องไห้ คือพอเห็นเขายิ้ม รู้สึกภูมิใจที่เราทำได้ เราคิดได้แล้ว คือก่อนหน้านี้ผมเองได้รับคำสบประมาทมาเยอะ แต่เราเอาคำเหล่านั้นมาทำในมุมบวก มาเป็นแรงผลักดันให้เราทำอะไรหลายๆ อย่าง ส่วนตัวผมเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอยู่ข้างในอยู่แล้ว และเป็นคนคิดมากเวลาใครพูดอะไรมา ก็จะวนเวียนอยู่ในหัว ผมผ่านสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการบอกตัวเองว่า ผมจะอดทนรอสักวันหนึ่ง วันที่เราจะยืนขึ้นมาด้วยความสามารถเรา ได้ตะโกนบอกไปว่าเราทำได้แล้วนะ ตอนนั้นเราคิดตลอดว่า สักวันเราจะตะโกนให้สุดเสียงว่า ”ผมทำได้แล้วนะ“ ตะโกนให้ทุกคนได้รู้”
ได้ตะโกนไปแล้วหรือยัง
“ตะโกนไปแล้ว (หัวเราะ) ว่า ทำได้แล้วเว้ย (ยิ้ม) ตอนที่ตะโกนรู้สึกโล่งมาก เพราะว่าเราแบกมันมาตลอด มันเหมือนปลดล็อกหลายๆ อย่างที่มันอยู่ในใจเรา” อีกหนึ่งความในใจจาก “เพิร์ธ” ธนพนธ์
ที่มา : komchadluek
Eng Trans by PerthTigerGang
From unruly children to famous teenage celebrities, "Perth" Thanaphon Being a famous teen star that is currently being watched for "Perth" Thanaphon Sukhumphananasan that his hotness caused him to have fans all over Asia. (1)
His work is now worth watching because Perth is one of the actors from Net Flix's first Thai series, "เคว้ง (The Stranded)". Kom Chud Luek Entertaining, so let's open this young man's heart to his fans to get to know each other better. (2)
Q: Ask about the "เคว้ง (The Stranded)" series, how was it?
This is the first story that Netflix Original has collaborated with Thailand for the first time, a thrilling series directed by P’Jim Sophon director of "Ladda Land". (3)
The filming was exciting because it was completely different from the way we acted. Both in terms of acting, story, and role. It can be said that it is a serious character turnaround that everyone sees, (4)
whether it be ‘Eh’ from Love by chance or even myself, who is normally a naughty person, but in this character it is completely different, the obvious thing is that speaking is not me. (5)
Q: Why did you decide to accept this series?
Actually considering the role first, very interesting and really challenges me, a great opportunity to work with Netflix due to the first Thai series, and working with P’Jim, which I've followed him previously. (6)
Actually considering the role first, very interesting and really challenges me, a great opportunity to work with Netflix due to the first Thai series, and working with P’Jim, which I've followed him previously. (6)
Q: The shooting is very heavy.
Filming, same as in abroad and very heavy, I would shoot in a period of about 5 Days in each on an island in Thailand, where the internet is also rarely available and a lot of dust, so it felt like we were really stuck. (7)
Filming, same as in abroad and very heavy, I would shoot in a period of about 5 Days in each on an island in Thailand, where the internet is also rarely available and a lot of dust, so it felt like we were really stuck. (7)
Q: Do you have to report to anyone? Missing for a long time.
Have a call telling mom that I'm here because before I went I told where I go, how many days? Mom will know that I go to work, but on the day I returned I would say Mama, I'm going home. (8)
Q: Are your parents jealous?
They will let me think and do it myself and give me freedom to make decisions since I was young, high school, let us decide everything if making mistakes, must correct by yourself. They taught me to learn everything by ourselves. (9)
Q: When you make a wrong decision, what do parents say?
When something goes wrong, I'll consult & they will teach, I'm an only child & don’t like anything within the frame, wanna go out to learn various things on my own, I think because they has freed me (10)
Q: Used to be far away from the frame?
"In high school, unruly but now not unruly, then cute and repentant. at the time, then the parents pulled back and it was during the period that Grand father died Therefore made me realize that what we do is bad. (11)
Eng Trans by SmileOfyou_1912
"I love my family so much. family is always the first thing i think about ... is my number one priority.
I have a lot of jobs but when I have free time, I would spend time with my family... Mae wanted to go anywhere and I would take Mae away..." (1)
".....I am happy to be working, even when I'm tired but I still don't want to wake up just to tell myself that it is my favorite job but also because I have found what I dreamed of...." (2)
"....I always ask myself if that is true?... until now i still don't believe it came to me because i'm just a normal kid.... still don't dare to think that i can be here today..." (3)
"....I am happy to overcome the insults that people give me. I am happy to be able to make money to care for my parents. I don't think I can do it at my age. I don't know how to describe my pride with that...." (4)
"...In the past, I received a lot of insults. But I used those words to motivate myself, to try harder at work. I am a person who is always thinking inside, when someone says anything, I will mark it in my mind to be able to try more...." (5)
"....I can overcome that by telling myself that I need patience to wait for a day when I can stand up in front of people and say aloud "I can do it"..... Say it so people know you...." (6)
-->
<--